Share

Rancidity & Crystallized in Green Bean (2)

Last updated: 5 Oct 2023
1574 Views

Rancidity & Crystallized in Green Bean (2)

การตากกะลาในสภาพอากาศร้อนเกินไปไม่เพียงแต่จะทำให้ได้กลิ่นรสทึบคล้ายน้ำต้มผักแบบที่เรียกว่า Stew Flavor แล้ว (Wintgens 2004) มันยังอาจส่งผลให้เกิด Defect แบบที่เรียกว่า Cryslallized bean ซึ่งสร้างปัญหาเรื่องความชื้นย้อนกลับหลังการเก็บสต๊อกได้อีกด้วย


---


เมื่อตอนที่แล้วผมพูดถึงเรื่องการหืนในสารกาแฟที่เกิดจากการตากแห้งในอุณหภูมิที่สูงระดับ 50-60 C จนไปทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเซลล์กาแฟและการฉีกขาดเสียหายของผนังเซลล์ นอกจากนั้นบริเวณขอบของเนื้อเซลล์ซึ่งเป็นบริเวณของไขมันก็มีการพบหยดของเหลวที่คาดว่าจะเป็นไขมันอีกด้วย โดยสารประกอบที่บ่งชี้สภาพการหืนในเมล็ดกาแฟและเมล็ดธัญพืชทั่วไปก็คือ Hexanal (หรือเรียกชื่อเต็มว่า Hexanaldehyde) ไขมันอิ่มตัวที่มีคาแรกเตอร์ของกลิ่นหญ้าเขียว กลิ่นถั่วดิบ และกลิ่นหืน เราอาจพบ Hexanal ในกาแฟหืนหรือสารกาแฟที่เป็น defect ประเภทที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์แบบอื่นได้ด้วย เช่น Rio beans เป็นต้น​ (Flament 2002,pp112)
การตากแห้งที่ร้อนเกินไปจึงเป็นที่มาของกลิ่นน้ำต้มผักที่บดบังกลิ่นรสดีๆที่อาจจะมีอยู่ในกาแฟตัวนั้นๆไปเสีย
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น...เพราะการตากร้อนยังทำให้น้ำตาลในเมล็ดเกิดการหลอมละลายและกลายเป็นแผ่นผลึกน้ำตาลเคลือบผิวกั้นทางออกของน้ำในเมล็ดจนทำให้มีปัญหาเรื่องการสะสมความชื้นในเมล็ดและการเกิดราและแบคทีเรียในกระสอบก็จะตามมาในที่สุด
เรามารู้จักกับปัญหา Crystallized Bean กันครับ


----


Crystallized การเกิดผลึกน้ำตาลเพราะตากร้อนทำให้กาแฟไล่ความชื้นออกไม่ได้
กาแฟมีน้ำตาล sucrose เป็นองค์ประกอบอยู่ประมาณ 5-12% ซึ่งน้ำตาลก็คือน้ำตาลถ้าปล่อยวางไว้กลางร้อนจัดและมีความชื้น เราจะเห็นน้ำตาลละลายจากของแข็งกลายเป็นของเหลวได้ ในเมล็ดกาแฟก็สามารถเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้
เมื่อถูกความร้อนสูง (เกิน 50 C ขึ้นไป) น้ำตาลที่อยู่บริเวณผิวของเมล็ดจะเกิดการหลอมเหลวในขณะร้อน และเมื่ออากาศเย็นตัวลงในตอนกลางคืน น้ำตาลก็เกิดการ Crystallized หรือตกผลึกกลับมาเป็นของแข็งได้อีกครั้งซึ่งน้ำตาลตกผลึกเหล่านี้จะกลายเป็นเหมือนแผ่นฟิล์มเคลือบปิดผิวของเมล็ด ทำให้ความชื้นหรือน้ำที่อยู่บริเวณด้านในเคลื่อนที่ผ่านผิวของเมล็ดเพื่อออกไปยังอากาศได้ยากหรือติดอยู่ในบริเวณกลางเมล็ดนั้น (Wintgens 2004)
ผลึกน้ำตาลเป็นยังไงลองตักน้ำเชื่อมที่เพิ่งต้มใหม่ร้อนๆมาเทบางๆลงกับพื้นจานหรือพื้นปูนตรงไหนก็ได้ แล้วรอดูคราบน้ำเชื่อมตอนแห้งและเย็นแล้วดูนะครับ...ลักษณะเดียวกัน
หากสังเกตทางกายภาพของเมล็ด Crystallized จะเห็นผิวด้านนอกดูเรียบออกเงาๆแต่เหมือนมีสีเขียวก่ำลึกๆอยู่ตรงเนื้อใน ซึ่งหมายถึงความชื้นที่ยังออกจากเมล็ดไม่หมดนั่นเอง เวลาดูของจากกาแฟล็อตพวกนี้เรามักจะเจอปัญหาอื่นประกอบกันด้วยครับ เช่นเมล็ดงอโค้ง (ความร้อนจัดทำให้โครงสร้างเซลล์กาแฟหดตัว) กะลาปริแตก centercut กว้าง
ผิวเคลือบที่ว่านี้จะปริแตกได้ในระหว่างการเก็บรักษาสารกาแฟเอาไว้ในสต๊อก ความชื้นจากแกนในเมล็ดเริ่มเคลื่อนที่ออกมายังบริเวณผิวทำให้กาแฟมีความชื้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความชื้นถึงระดับหนึ่ง เมล็ดจะเริ่มมีการฟอกสีคือมีริ้วสีขาวซีดเกิดขึ้น (Faded Streaked bean/ Moisture reversed bean/ Reweting bean) จุลินทรีย์พวกราและแบคทีเรียเริ่มสามารถทำกิจกรรมหายใจดำรงชีวิตได้ ซึ่งกิจกรรมชีวิตเหล่านี้ก็ยังมีน้ำเป็นผลผลิตอีกด้วย ดังนั้นจึงมีการสะสมของความชื้นในเมล็ดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีที่กลไกชีวิตของจุลินทรีย์เริ่มต้นขึ้น
ผมแนบแผนภาพแสดงลำดับพัฒนาการเมื่อกาแฟมีปัญหาเก็บรักษาไว้ในบริเวณพื้นที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงเกิน 75% เป็นระยะเวลานานจนเกิดปัญหาของความชื้นย้อนกลับในกาแฟ (Moisture reversed หรือ Reweting) ที่กระตุ้นให้เกิดการหายใจของเซลล์กาแฟมากขึ้น ซึ่งการหายใจก็มีน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์และความร้อนเป็นผลพลอยได้ จนเมื่อกาแฟมีความชื้นมากกว่า 15.5% ก็เกิดการเจริญของแบคทีเรียและราต่อมา
สรุปเบื้องต้นว่า กาแฟ Crystallized ทำให้เกิดปัญหา Moisture reversed จนพัฒนาเป็นกาแฟติดเชื้อราและแบคทีเรีย (Mouldy) ซึ่งเนื้อเมล็ดที่ถูกกัดกินเหล่านี้จะเสียความหนาแน่นไปเรื่อยๆเพราะกิจกรรมดำรงชีวิตของจุลินทรีย์ สีสันจะซีดและออกไปทางสีเหลือง หรือเป็นม่วงอมชมพูก็มี (ขึ้นกับชนิดของเชื้อ) เมล็ดจะบวมขยายตัวและนุ่มลงแบบเล็บจิกเป็นรอยได้ (Spongy)
ใครที่ซื้อสารกาแฟแล้วเจอเมล็ดอ้วนใหญ่เนื้อนุ่มสีซีดๆนี่อย่าเพิ่งดีใจว่าได้เกรด AAA มานะครับ ลองดมสารดูดีๆก่อน เพราะถ้าได้กลิ่นถุงเท้าเน่า (Foot odor) ละก็ชัดเจนเลยว่าเขาเอากาแฟที่กำลังพังได้ที่แล้วมาขายคุณ


----


เราจะเห็นได้ว่าการตากแห้งกาแฟนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง sensitive และมีขีดจำกัด (limit) ของระยะเวลาที่ไม่สามารถเร่งการตากแห้งโดยการใช้ความร้อนสูงได้ เพราะอาจเกิดผลเสียหายที่รุนแรงในภายหลัง การเคลื่อนที่ของน้ำออกจากเมล็ดในระหว่างตากขึ้นกับความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างอากาศกับเมล็ด (Temperature gradient) อัตราเร็วและความชื้นของกระแสลม ( Air stream) และความหนาของกาแฟในแค่ตาก ซึ่งสำหรับกรณีที่เล่ามานี้บอกเราให้ทราบว่าการพยายามเพิ่ม Temperature gradient นั้นมี limit อยู่ตรงปรากฏการณ์ Crystallized และ การสลายตัวของไขมันเนื่องจากความร้อนที่ผมเล่าไปเมื่อตอนที่แล้วนั่นเอง


---


สรุปปัญหาของกาแฟที่ตากร้อนเกินไป
1. ทำให้กาแฟมีกลิ่นรสแบบน้ำต้มผัก เอาไปคั่วขายเป็นกาแฟพิเศษไม่ได้
2. เกิดผลึกน้ำตาลเคลือบผิวทำให้ไล่ความชื้นออกจากเมล็ดได้ยาก และส่งผลทำให้เกิดความชื้นย้อนกลับในภายหลังระหว่างการจัดเก็บในสต๊อก (2-3 เดือนหลังจากเข้าสต๊อกก็รู้เรื่องแล้วครับ)
3. ความชื้นย้อนกลับจะพาให้กาแฟเสียหายทั้งล็อต ติดราติดแบคทีเรียกันวุ่นวายไป ซึ่งพอปัญหาเกิดแล้วก็ต้องมาวัดใจตัวเองอีกว่าจะทิ้งหรือทนขายมันต่อไปให้เสียทั้งชื่อเสียทั้งสุขภาพของคนกิน
มีน้องคนหนึ่งแชทมาถามผมว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว “เขามีเพดานอุณหภูมิในการตากกันที่เท่าไหร่?”
งานของ Wintgens โชว์กราฟเอาไว้เลยและกำหนดว่าตากกะลา (Parchments) ไม่เกิน 40 C ส่วนตากเชอรี่ (Cherries) ไม่เกิน 45 C ครับ ซึ่งหากเอาส่วนตัวของผม คิดว่าไม่เกิน 40 C มันทั้งคู่เลยน่าจะ safe สุด
มีคำถามต่อมาว่าถ้าเริ่มเจอปัญหา Moisture reversed เริ่มเกิดแล้วควรทำไงดี?
กาแฟที่เริ่มมีปัญหาความชื้นย้อนกลับยังอาจจะพอรีบเอามาตากไล่ความชื้นในห้อง LTLH หรือพื้นที่ตรงไหนก็ได้ที่มีลมแห้งและอากาศไม่ร้อนเกิน 40 C พอความชื้นของเมล็ดลดต่ำกว่า 10% (MC < 10%) ก็หยุดตากแล้วเก็บใส่กระสอบซ้อนถุงพลาสติกข้างในอีกชั้นนึงครับ กาแฟจะยังพอใช้การได้โดยที่ยังไม่มีกลิ่น off-flavor อะไรมากนัก แต่ถ้าเรามาเจอตอนที่ moisture มัน reversed มานานเสียจนขึ้นราหรือฟอกขาวไปเยอะแล้วก็คงทำอะไรไม่ทัน กาแฟที่ปัญหามาถึงจุดนี้จะให้กลิ่นรส off ได้หลายแบบ ทั้งแบบกลิ่นเห็ดกลิ่นรา กลิ่นบลูชีส phenolic และ metallic เป็นต้น
ถามอีกว่าแล้วเราควรมีเครื่องวัด Water Activity เอาไว้คอยตรวจสอบสารดีไหม?
ผมเองยังมองว่ามีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไรนะครับ เพราะเครื่องวัด Water Activity ราคาค่อนข้างสูง เราอาจใช้กระบวนคัดคุณภาพของสารกาแฟที่ดีและเคร่งครัดและคอยควบคุมสภาพพื้นที่จัดเก็บสารกาแฟให้ไม่ร้อนหรือชื้นเกินไปก็จะช่วยควบคุม water activity ในเมล็ดกาแฟได้ครับ
สำคัญตรงที่...เราอ่านออกตั้งแต่แรกไหมว่ากาแฟที่กำลังจะซื้อมาใช้คั่วเนี่ยมันมีปัญหาอยู่ในตัวเองหรือเปล่า?
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
#PredaRoastingHouse #CoffeeRoasting #ThaiSpecialtyCoffee
#CoffeeGreenBean #CoffeeDrying


---
ขอบคุณเอกสารอ้างอิง
เอกสารประกอบ
1. Jean Nicholas Wintgens (2004). Coffee : Growing, Processing, Sustainable Production
2. ColumbiaCoffeeHub.com
3. Ivon Flament​ (2002). Coffee Flavor Chemistry


Related Content
Roast Profile Ideas for Dry-Process Coffee: How to Reduce Over-Fermented and Alcoholic Notes
One common challenge many specialty-coffee roasters encounter when roasting dry-process coffee is the appearance of overly strong fermented aromasoften leaning toward ripe or overly alcoholic fruit.
Roasting Coffee: Why Body Matters
At Preeda Roasterys roasting class, students get to taste both their own roasts and their classmates.
Why the Curved Surface Heats Faster than the Flat Side?
The other day, I was talking with a younger friend about the physical mechanisms behind the First Crack—where it comes from and how it happens. Since she used to work in the aviation field, I brought up an analogy about airflow hitting coffee beans, causing changes in air pressure and velocity—much like how airflow interacts with an airplane wing. After explaining, I realized it might be useful to write it down in a way that paints a clearer picture.
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy