แชร์

Acidity กับ Maillard และ Caramelization

อัพเดทล่าสุด: 5 ต.ค. 2023
2096 ผู้เข้าชม

Acidity กับ Maillard และ Caramelization

ขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมจากตอนที่แล้วเรื่อง sugar ที่ว่าสามารถกลายเป็นกรดจำนวนหนึ่งเมื่อเกิด Maillard Reaction ในระหว่างการคั่วได้ ซึ่งในความมุ่งหมายของการเขียนเพียงต้องการอธิบาย acidity หรือความเปรี้ยวที่เกิดจากปฏิกริยาเคมีกลุ่มนี้เท่านั้น

ไม่ได้หมายความว่า acidity ทั้งหมดนั้นมาจากน้ำตาล Sucrose

อยากให้เห็นภาพว่าน้ำตาลพอโดนความร้อนไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันเปรี้ยวได้
วันนี้จะเสริมอีกนิดว่าน้ำตาลในสารกาแฟบางส่วนก็ยังพากันไปเกิดปฏิกริยาเคมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า Caramelization หรือการเกิดน้ำตาลคาราเมล ซึ่งเจ้าคาราเมลที่ว่านี้ก็จะมีกลิ่นเย้ายวนแบบน้ำตาลไหม้ มีความหนืดสูง สีสันแบบสีน้ำตาลเข้มอมแดง

Caramelization เกิดจากการสลายตัวเนื่องจากความร้อนของ Sucrose และ Polysaccharide ต่างๆแล้วจับตัวเป็นกลุ่มน้ำตาลหนืดๆที่มีสมบัติแบบ Polymer นักคั่วจะคุ้นกับกลิ่นหอมหวานของกาแฟเมื่อผ่านช่วง 180 C ไปแล้วได้ดีครับ กลิ่นนั้นแหละเป็นสัญญาณบอกถึง caramelization ซึ่งเมื่อการคั่วดำเนินต่อไปกลิ่นหวานก็จะเข้มข้นขึ้นไปอีก จากกลิ่นน้ำตาลใสๆ ก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นน้ำผึ้ง ไปจนถึงกลิ่นคาราเมล แล้วถ้าคั่วเข้มคั่วลึกจนเกินเบอร์ กลิ่นหอมหวานก็อาจอันตรธานหายไปกลายเป็นกลิ่นยางไหม้ฉุนเสียดแทง แปลว่าคาราเมลดีๆไม่มีเหลือแล้ว

Caramelization เกิดได้เองโดยไม่ต้องอาศัย amino acid อย่าง Maillard แค่น้ำตาลร้อนได้ที่ในภาวะที่ค่อนข้างแห้ง (ไม่มีน้ำ) ก็เกิดปฏิกริยาแล้ว

ที่สำคัญคือ...Caramelization นอกจากจะให้กลิ่นน้ำตาลไหม้ที่มีรสทั้งหวานและขมแล้ว...มันยังให้ Acid พวก Acetic,Formic อีกเช่นเดียวกับ Maillard

ถ้าใครเคยลองเคี่ยวน้ำตาลแบบแห้งๆในกะทะเพื่อทำน้ำไซรัปคาราเมลใช้เองจะเข้าใจ เพราะน้ำไซรัปคาราเมลแท้แบบทำเองพวกนี้นอกจากจะหวานปนขมแล้ว...มันยังมีความเปรี้ยวอีกด้วย ยิ่งใช้ไฟแรงเคี่ยวนาน รสเปรี้ยวยิ่งชัด (ไม่นับคนที่เคี่ยวเสียจนน้ำตาลกลายเป็นถ่านนะ)

ใครไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ ลองไปเคี่ยวน้ำเชื่อมคาราเมลเองดู ผมให้สูตรง่ายๆคือ

1. เคี่ยวน้ำตาลทราย 1 ถ้วย ด้วยไฟกลาง จนน้ำตาลหลอมละลายไปได้สัก 5 นาที (ควันเยอะมหาศาลหน่อยนะครับต้องเปิดพัดลมดูดควันเบอร์แรงสุดเลย)​ แล้วค่อยเติมน้ำลงไปอีกสัก 2 ถ้วย เคี่ยวต่อไปจนเนื้อเข้ากันก็ยกลงจากเตา

2. เคี่ยวแบบเดียวกันแต่ใช้เวลานานกว่า จาก 5 เป็น 8 นาที แล้วก็ค่อยเติมน้ำ

ลองชิมเทียบดูระหว่างน้ำเชื่อมสูตร 1 กับ สูตร 2 เราจะเข้าใจ degree of Caramelization ตัวที่เคี่ยวหนักกว่าจะได้รสขมและเปรี้ยวที่ชัดกว่า สีสันก็เข้มข้นมากกว่าเยอะ

น้ำตาลในเมล็ดกาแฟก็อย่างเดียวกันครับ คือคั่วไปก็มีรสขม รสเปรี้ยวเกิด แต่ถ้าใช้ไฟแรงไปน้ำตาลก็หมด กรดก็หายได้นะ เพราะกรดในระหว่างการคั่วเนี่ยสลายตัวได้เร็วและง่ายมากเนื่องจากมวลโมเลกุลต่ำ

จุดท้าทายของมือคั่วอยู่ตรงที่ว่า เราจะควบคุมรสหวาน-ขม ให้กลมกล่อมโดยที่ยังมี acidity ที่ลงตัวได้อย่างไร? เพราะยังต้องพิจารณาถึงปริมาณ acid หรือกรดดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วใน green bean ด้วย

สรุปอีกทีว่า acid เกิดในระหว่างคั่วได้โดยอาศัยน้ำตาลในตัวเมล็ด
แต่ไม่ได้หมายความว่า acidity ทั้งหมดเกิดจากน้ำตาล เพราะกาแฟเขามีกรดเดิมๆในตัวเขาอยู่แล้ว (มากหรือน้อยก็แล้วแต่เขา)

ป.ล.​ น้ำเชื่อมในรูปข้างล่างนี้สีเหมือนน้ำกาแฟมั้ยล่ะ



อ่านลิงค์เก่า ๆ เพิ่มเติมทางนี้ :
 Sugar กับ Coffee fermentation (Click เลย!)


บทความที่เกี่ยวข้อง
ไอเดียโปรไฟล์คั่วกาแฟ Dry Process แก้ปัญหากลิ่นจัดออกแอลกอฮอล์เกินไป
ปัญหาหนึ่งที่คนคั่วกาแฟพิเศษมักจะเจอตอนคั่วกาแฟ Dry process ก็คือได้กลิ่น ferment โทนผลไม้สุกมามากเกินไป
คั่วกาแฟก็ต้องคำนึงถึง body ด้วย
ในคอร์สเรียนคั่วที่ปรีดา นักเรียนจะได้ชิมกาแฟฝีมือตัวเองและเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งตัวคั่วอ่อน city roast นี่แหละที่เป็นบทเรียนได้ดีมากๆ
ทำไมพื้นผิวด้านโค้งจึงร้อนเร็วกว่าผิวด้านแบน?
วันก่อนผมคุยกับน้องสาวท่านหนึ่งเรื่องกลไกการเกิด First Crack ว่ามีที่มาที่ไปทางฟิสิกส์อย่างไร ด้วยเห็นว่าน้องเคยทำงานเกี่ยวกับการบินก็เลยเอามุมมองเกี่ยวกับกระแสลมที่วิ่งเข้ากระทบเมล็ดแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแรงดันและความเร็วของลมซึ่งคล้ายกับกรณีที่ลมปะทะปีกเครื่องบินเหมือนกัน เมื่อเล่าไปแล้วก็กลับมานึกว่าน่าจะเขียนอธิบายให้เห็นภาพอีกทีก็น่าจะดี
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy