Share

The Fermentation effect: อิทธิพลของ Fermentation

Last updated: 5 Oct 2023
2429 Views

The Fermentation effect : อิทธิพลของ Fermentation ที่มีต่อคุณภาพ Green bean

ช่วง 5 ปีหลังมานี้ เราพูดถึงคำว่า Fermentation หรือ ‘การหมัก’ ในการทำโปรเสสกาแฟค่อนข้างมาก ซึ่งบางทีก็มากเสียจนชวนให้สับสนว่าตกลงมันดีหรือไม่ดีกันแน่ ฝั่งหนึ่งก็บอกว่าช่วยสร้างกลิ่นรสเพิ่ม แต่อีกฝั่งก็ว่ามันทำให้เสียความเป็นธรรมชาติของกาแฟ ล่าสุดยังมีคนเอามาเทียบเคียงกับกาแฟแต่งกลิ่นโดยตั้งคำถามว่าการทำโปรเสสที่อาศัย fermentation มันก็คือการแต่งกลิ่นอย่างหนึ่งหรือไม่?
ในฐานะนักคั่ว ผมว่าเราสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ครับ...ถ้าหากเรามีความเข้าใจกับมันมากพอ

คุณภาพของสารกาแฟกำหนดกันที่อะไร?
สารประกอบตั้งต้นทั้งหลายที่อยู่ในสารกาแฟ (green bean) ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการเกิดกลิ่นรสในระหว่างการคั่วทั้งสิ้น หากมีปริมาณของสารประกอบที่ช่วยสนับสนุนการสร้างกลิ่นรสที่ดีมาก กาแฟก็มีคุณภาพดีมาก และในทางกลับกันถ้าหากมีปริมาณสารประกอบที่ให้กลิ่นรสไม่ดี (โดยมากก็จะไม่ดีต่อสุขภาพด้วย) เราก็ถือว่าเป็นกาแฟด้อยคุณภาพ
โดยประสบการณ์ของผมที่ทำโปรเสสเองอยู่หลายปี เราไม่สามารถคั่ว defect ให้กลายเป็นกาแฟดีได้อย่างแน่นอน เพราะสารประกอบที่ให้กลิ่นรสแย่ๆนั้นมักจะมีความคงตัวในระหว่างการคั่วค่อนข้างสูง ไม่สลายหายไปง่ายๆด้วยความร้อน
กระบวนการแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยวถือเป็นช่วงที่กำหนดชี้เป็นชี้ตายให้กาแฟได้เลยทีเดียว ถ้าทำดีกาแฟก็คุณภาพดี แต่ถ้าทำไม่เป็นหรือไม่ใส่ใจ เชอรี่ที่เก็บมาดีๆก็อาจเสียของกลายเป็นกาแฟ overferment หรือติดราไปก็ได้ ดังนั้นถ้าเราควบคุมคุณภาพในขั้นตอนโปรเสสนี้ได้ดีจริงๆก็เท่ากับควบคุมคุณภาพโดยรวมของระบบผลิตกาแฟกว่า 60% แล้วครับ


---
Fermentation คืออะไร?
Fermentation หรือการหมัก : คือกระบวนการทางชีวเคมีภายในเซลล์เพื่อสร้างพลังงานจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ โดยทั่วไปแล้วเราใช้ fermentation เพื่อการแปรรูปอาหารโดยให้จุลินทรีย์ (แบคทีเรีย, รา และยีสต์) ทำการเปลี่ยนคุณสมบัติอาหารทั้งทางรูปแบบและกลิ่นรสจนกลายเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่ง เช่น การหมักน้ำองุ่นจนได้เป็นไวน์ การหมักถั่วเหลืองจนได้เป็นซอสปรุงรส หมักแป้งเพื่อทำขนมปัง เป็นต้น นอกจากกลิ่นรสต่างๆแล้วจะต้องมี คาร์บอนไดออกไซด์และความร้อน (พลังงาน) เกิดขึ้นจากในการหมักด้วย
ในอุตสาหกรรมกาแฟ เราใช้ fermentation เพื่อให้แบคทีเรียหรือยีสต์ช่วยย่อยสลายเมือกที่อยู่โดยรอบเมล็ดก่อนจะนำไปตากแห้ง (drying) ในกระบวนการแปรรูปแบบเปียก (wash process) มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยอาศัยประโยชน์จากการที่เมือกถูกย่อยสลายไปหมดแล้วในการช่วยให้ตากกาแฟได้ง่ายจนสามารถควบคุมคุณภาพของสารกาแฟในเชิงพาณิชย์ได้ดี
เคยมีความเชื่อมายาวนานว่า fermentation ทำให้กาแฟเสียคุณภาพจนกระทั่งเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เองว่า fermentation สามารถช่วยพัฒนาให้เกิดสารตั้งต้นกลิ่นรส ( Flavor precursurs) ที่ดีมากมายทั้งนี้ขึ้นกับการควบคุมกระบวนการว่าทำได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด


---
การแปรรูปหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าการโปรเสส (coffee processing) ทำให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?
เราจะเข้ามาวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์กันสักหน่อย ต่อจากตรงนี้ไปผมจะเขียนโดยอ้างอิงบทความเรื่อง The Fermentation Effect ที่เขียนโดยทีมวิจัยของคุณ Sophia Jiyung Zhang และ Florac De Bruyn ใน 25 Magazine เมื่อปี 2019 ซึ่งผมหาอ่านผ่านเวบเพจของ SCA นะครับ ใครสนใจตามไปอ่านที่ลิงค์ใต้บทความนี้ได้เลย
ปรากฏการณ์หลัก 2 อย่างในระหว่างโปรเสสกาแฟที่มีผลต่อการพัฒนารสชาติ

1. กิจกรรมของจุลินทรีย์ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่กำลังโปรเสส (microbial activities)
เมื่อเมือกหรือเนื้อกาแฟเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม (รา ยีสต์ และแบคทีเรีย) การ fermentation ก็เริ่มต้นเกิดขึ้น จุลินทรีย์จะเปลี่ยนเมือกกาแฟ (mucilage) ให้เป็นพลังงานในการดำรงชีพและออกลูกออกหลาน โดยในกิจกรรมชีวิตของจุลินทรีย์เหล่านี้จะผลิตความร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสารประกอบที่มีกลิ่นรสต่างๆซึ่งเราเรียกโดยรวมว่า metabolite ซึ่งเจ้า metabolite มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็จะแพร่ผ่านเข้าไปสะสมอยู่ในเมล็ดเป็นสารอาหารตั้งต้นของปฏิกริยาเคมีตอนคั่วต่อไป
กรณี wet process [สีเปลือก หมักน้ำ - ตาก] การ fermentation จะเกิดในน้ำ ส่วน dry process [หมักและตากทั้งผลเชอรี่เลย] fermentation จะเกิดในเนื้อและเปลือกของเชอรี่ เนื่องจาก dry process ต้องใช้เวลาตากที่นานกว่าค่อนข้างมาก ดังนั้น fermentation จึงเกิดขึ้นนานกว่า โดยอัตรา fermentation จะช้าลงเรื่อยๆจนกว่าเชอรี่จะแห้งลงในที่สุด (จุดที่ถือว่าแห้งสนิทพอจะทำการเก็บลงกระสอบได้อย่างปลอดภัยคือ moisture content < 12% ในทางปฏิบัติคือ <11%)
สาร metabolite ที่ถูกผลิตขึ้นระหว่าง fermentation และคงอยู่บนผิวของเมล็ดไปจนเสร็จสิ้นการโปรเสส จะทำให้เกิดเป็นรสชาติเอกลักษณ์ของจุลินทรีย์เหล่านั้น เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า fermentation effect

กระบวนการทางเคมีภายในเมล็ดกาแฟ (internal seed metabolism)
เมล็ดกาแฟเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม (stress factor)

เมื่อเมล็ดเผชิญสภาวะแวดล้อมบางอย่าง เราเรียกว่าความเค้น (Stress) ซึ่งเป็นไปได้ 2 รูปแบบคือ
- ภาวะขาดออกซิเจน (hypoxia) ในระหว่างหมักพวก anaerobic, Cm ต่างๆ และ
- ภาวะขาดน้ำ (drought stress) บนลานตากที่ยังไงเราก็ต้องทำให้เมล็ดแห้งถึงเกณฑ์ความชื้นที่จุลินทรีย์ต่างๆไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป
ความเค้นนี้จะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในตัวเมล็ด (สารอาหารมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็แล้วแต่) ซึ่งโดยหลักๆแล้วมันจะไปเปลี่ยนปริมาณของคาร์โบไฮเดรต กรดอมิโน และกรดอินทรีย์ ซึ่งสารพวกนี้ก็คือสารตั้งต้นตัวสำคัญของกลิ่นรสกาแฟคั่วทั้งสิ้น

ต้องบอกว่าทั้ง 2 ปรากฏการณ์นี้มีพลวัตหรือ dynamic สูงมากทีเดียว คือทุกชั่วโมงที่ผ่านไปในระหว่างโปรเสสมีผลต่อการพัฒนาสารอาหารทั้งที่อยู่บริเวณรอบๆเมล็ดและภายในตัวเมล็ด การกำหนดอุณหภูมิและปริมาณอากาศระหว่างหมักกาแฟ สำคัญพอๆกับการกำหนดอุณหภูมิ กระแสลม และระยะเวลาระหว่างตากให้แห้งถึงจุดที่ต้องการ
และเมื่อเราพูดถึงรสชาติที่เกิดจากการโปรเสส ก็ต้องพูดถึงทั้ง flavor ที่เกิดจากการหมัก (fermented flavor) และองค์ประกอบพื้นฐานภายในเมล็ดที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันด้วย
---
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาเกิด fermentation กับปริมาณสารอาหาร (nutrients) ในเมล็ด
ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่า สภาพการหมักและความชื้นที่ลดลงสร้าง stress ให้กับเมล็ด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสารอาหารบางตัวในเมล็ดด้วย มีการวิจัยถึงความสัมพันธ์ของระยะเวลาการหมักกับสารสำคัญบางตัว โดยเทียบระหว่าง short fermentation กับ long fermentation (ซึ่งเมื่อหมักนานเกิดคาร์บอนไดออกไซด์สะสมเยอะ กาแฟก็จะอยู่ในภาวะ hypoxia หรืออับออกซิเจน) ผมสรุปสั้นๆสำหรับกรณีหมักนานไปเลยนะครับ คือเมื่อ long fermentation แล้วแนวโน้มจะเป็นดังนี้
• Volatile สารให้กลิ่น : เพิ่มขึ้น
• Simple carbohydrate (พวกน้ำตาลโมเลกุลเล็กอย่างกลูโคส ฟรุคโตส) : ลดลง
• Free amino acid : ลดลง
• Caffeine : ไม่ค่อยเปลี่ยน
• Chlorogenic acid : ลดลง (ซึ่งก็น่าจะเป็นผลดีเพราะรสฝาดเฝื่อนอาจจะน้อย)
ในบทความอ้างอิง เขาสรุปว่าที่เคยเชื่อกันมาว่า Long fermentation จะทำให้กาแฟ over ferment จนกลายเป็นพวกเมล็ด stinker bean นั้นก็ไม่จริงเสมอไป ถ้าหากมีการควบคุมความสะอาด (hygenic ) ในกระบวนการหมักได้ดี
พูดมาถึงตรงนี้ต้องมีคำถามขึ้นมาแน่นอนว่า ‘แล้วนานแค่ไหนถึงเรียกว่า long?’
ปัจจุบันยังไม่มีใครกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการหมักยุคใหม่อย่างชัดเจนตายตัวครับ แต่หากเราเทียบบริบทที่บทความนี้ถูกเขียนขึ้น เขาน่าจะเอาการหมักกาแฟ wash เป็นเกณฑ์ ซึ่งเกณฑ์นี้ก็ยังไม่เปลี่ยนกันนะคือเขาหมักกัน 12-48 ชั่วโมงเป็นส่วนใหญ่ โดยยึดเอาการละลายของเมือกกาแฟออกไปจากผิวเมล็ดแล้วเป็นสำคัญ แต่จะไม่หมักน้ำเกิน 72 ชั่วโมงเพราะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิด stinker bean หรือเมล็ดกลิ่นเหม็นบูดเหม็นเน่า กาแฟ long fermentation จึงน่าจะหมายถึงกาแฟที่หมักเกิน

3 วันขึ้นไป
อย่างไรก็ตามในส่วนของ amino acid มีรายละเอียดที่น่าสนใจคือ “มีการเพิ่มขึ้นของ amino acid ไปตามระยะเวลาการหมักไปจนถึงจุดสูงสุดจุดหนึ่งแล้วจึงลดลงอย่างรวดเร็ว” สะท้อนให้เห็นว่า ‘มีระยะเวลาการหมักที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง short กับ long fermentation’ ที่จะทำให้เราได้ amino เยอะๆ ซึ่งจะเป็นผลดีกับคุณภาพของปฏิกิริยาการคั่วกาแฟโดยที่ก็ยังมีน้ำตาลอยู่มากพอด้วย
โดยประสบการณ์ส่วนตัวของผม... หมักกาแฟนานแค่ไหนถึงจะดีนั้นเราต้องมองสภาพกลิ่นรสที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นเป็นหลัก หากกาแฟหมักให้กลิ่นรสที่ดีอยู่ก็แสดงว่าเราควบคุม condition ได้ดีและการดำเนินไปของ fermentation ก็ยังเป็นไปด้วยดี การหมักก็สามารถจะไปต่อคือยืดเวลาไปต่อได้ แต่ถ้ากาแฟมีความเปรี้ยวสูง (ค่า pH ก็ต่ำ) กลิ่นก็เริ่มมีความฉุนเฉียวแบบของดองเกิดขึ้นบ้าง และปริมาณน้ำตาลในน้ำก็เหลือน้อยมากเราก็ควรจะยุติการหมักได้แล้ว ขืนยืดเวลาต่อไปก็ต้องเกิดความเสียหายอย่างแน่นอน
สรุปเบื้องต้นว่า การหมักสั้นให้กลิ่นรสซับซ้อนค่อนข้างน้อย และการหมักนานก็ไม่ได้ให้ผลแย่แบบที่เคยเชื่อกันมาถ้าเราควบคุมสภาวะแวดล้อมได้ดี (อุณหภูมิต่ำ, ปลอดเชื้อที่ทำให้บูดเสีย, และออกซิเจนต่ำ)
...แต่การหมักนานเกินไปก็ไม่ได้ให้ผลดีเสมอไปเช่นกัน
----
โปรเสสต่างกันก็มีชนิดและความเข้มข้นของ metabolite ที่ไม่เหมือนกัน
ภายใต้สภาพการโปรเสสที่ต่างกัน ทั้งจุลินทรีย์และ bean metabolism จะส่งผลให้เมล็ดกาแฟมีสัดส่วนของสารอาหารที่ต่างกันออกไป พูดง่ายๆบ้านๆว่า เชอรี่จากสวนเดียวกัน ถ้าทำโปรไฟล์การหมัก-ตากไม่เหมือนกัน กลิ่นรสของสารก็จะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เมื่อมองในรายละเอียด ปัจจัยที่กำหนดสภาวะการโปรเสส (processing condition) สำคัญๆมักจะได้แก่

1.ระยะเวลาเกิด fermentation


2. เราสีลอกเมือกออกอย่างไร? สีออกมากก็เหลือเมือกให้เกิด fermentation น้อยเป็นต้น (อาจจะให้ผลดีหรือไม่ดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายกลิ่นรสของตัวนักโปรเสส)


3. เราล้างเมล็ดก่อนนำขึ้นตากมากน้อยแค่ไหน (wet process) metabolite จะคงค้างเหลือบนเมล็ดก่อนขึ้นตากมากหรือน้อยก็อยู่ที่ขั้นตอนนี้

 
4. รูปแบบการตาก : ตรงข้อ 4 นี้ผมเพิ่มเติมจากบทความหลักนะครับ เพราะเมื่อเราศึกษามาจนถึงยุค 2022 กันแล้ว เราพบว่าคุณภาพของการตากนั้นส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของ green bean อย่างมากเลยทีเดียว ทั้งเรื่องความสม่ำเสมอของความชื้นและการลดปัญหาการด้อยคุณภาพลงในระหว่างเก็บสต๊อก green bean ยังไม่รวมถึงการพัฒนากลิ่นรสที่สามารถเกิดต่อเนื่องบนแคร่ตากได้อีกหลายวัน (คุณภาพของโครงสร้างเซลล์กาแฟจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ตรงที่ว่าตากร้อนหรือเปล่านี่แหละครับ และการรักษาคุณภาพเซลล์เอาไว้ได้มากก็หมายถึงโอกาสที่จะรักษา aroma ดีๆตามไปด้วย)

คุณค่าของการโปรเสสโดยใช้ความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับ Fermentation ที่ถูกต้อง
จากที่ผมเล่ามาค่อนข้างยืดยาวแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ที่เราจะได้เนื่องจากการควบคุมการหมักและโปรเสสได้ดีนั้นไม่ใช่แค่เรื่อง Volatile หรือสารที่สามารถระเหยได้ง่าย (ให้กลิ่น) เท่านั้นแต่ยังรวมถึงคุณค่าสัมผัสทางกลิ่นรส (sensorial quality) อีกมากมาย กาแฟที่หมักดียังมักจะมี body ที่หนาแน่นนุ่มนวลจากกรดไขมันพวก glycerol , กรดผลไม้ที่สร้างมิติสดชื่นอย่างพวก citic, malic, tataric และ lactic นอกจากนี้ยังมีน้ำตาล sucrose สะสมที่เมล็ดมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งย่อมส่งผลต่อคุณภาพของความหวานในกาแฟและกลิ่นหอมหวานอื่นๆอีกมากมาย
มีงานวิจัยทางวิชาการที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับศาสตร์การหมักที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ทั้งพวกที่เป็นคุณและโทษ ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เราทำกาแฟได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัยแก่การบริโภคมากขึ้น
เมื่อนักคั่วรู้และเข้าใจเรื่องเหล่านี้พอ เขาจะให้คุณค่าในการพยายามพัฒนามาตรฐานการแปรรูปโดยใช้วิทยาศาสตร์
...และตอบตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็นว่า fermentation คือการแต่งกลิ่นหรือไม่?

ขอขอบคุณบทความเรื่อง The Fermentation Effect โดยคุณ Sophia Jiyung Zhang และ Florac De Bruyn
https://sca.coffee/.../the-fermentation-effect-25....
ปล. ชีทเก่าและเยินเพราะพรินท์มาอ่านตั้งนานมากๆๆๆแล้ว

ผู้เขียน....อาคม สุวัณณกีฏะ

ช่องทางสั่งซื้อเมล็ดกาแฟคั่วปรีดา
Website : https://www.preda-roastinghouse.com/predacoffeebeans
Facebook : https://m.me/predaroastinghouse
Line : https://shop.line.me/@preda.coffee
shopee : https://shope.ee/7zXK5jKBxz
Lazada : ค้นหาร้าน กาแฟปรีดา https://s.lazada.co.th/s.S2X54

กาแฟพิเศษ PREDA LTLH
Line : https://shop.line.me/@preda. ltlh

หนังสือและโปสเตอร์
Line : https://shop.line.me/@preda.things

 


Related Content
Roasting Coffee: Why Body Matters
At Preeda Roasterys roasting class, students get to taste both their own roasts and their classmates.
Why the Curved Surface Heats Faster than the Flat Side?
The other day, I was talking with a younger friend about the physical mechanisms behind the First Crack—where it comes from and how it happens. Since she used to work in the aviation field, I brought up an analogy about airflow hitting coffee beans, causing changes in air pressure and velocity—much like how airflow interacts with an airplane wing. After explaining, I realized it might be useful to write it down in a way that paints a clearer picture.
coffee chemistry:Arabica Vs.Robusta
มีคำถามมาว่าจะคั่วโรบัสต้ายังไงให้อร่อย? เพราะหลายคนพยายามคั่วโรบัสต้าให้ฟรุ้งฟริ้งยังไงก็ไม่สำเร็จ กลับจะไปทาง earthy ไม่ค่อยมีรสมีชาติ บางคนบ่นว่ากลิ่นสาบแรงไปเลยก็มี
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy