Share

Convection มากแล้ว body จะน้อย...จริงหรือ?

Last updated: 5 Oct 2023
1481 Views

Convection มากแล้ว body จะน้อย...จริงหรือ?


ฟังมาจากหลายทางว่าเดี๋ยวนี้นักคั่วรุ่นใหม่หันมาเล่น Low air flow กันเพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มการนำความร้อน (Conduction heat transfer) ให้มีอิทธิพลมากขึ้นและจะส่งผลให้กาแฟ body ดี ไปๆมาๆ แนวคิดนี้ก็กลายเป็นการสร้างความรู้สึกไม่ค่อยดีให้กับการพาความร้อน (Convection heat transfer) ว่าเป็นต้นเหตุทำให้กาแฟไม่มี body
ถึงขั้นมีน้องนักคั่วหลายคนไม่กล้าปรับเพิ่ม air flow อะไรเลยเพราะ ‘เขาบอก’ มาว่าอย่างนั้น
ผมว่าเรามาเคลียร์เรื่องนี้กันสักหน่อยก็ดี ทั้งนี้ความเห็นของผมอาจจะไม่ตรงกับแนวคิดของหลายท่านที่ยึดถืออยู่ก็ต้องขออภัยไว้ก่อนนะครับ

Body คืออะไร? เกิดจากอะไร? และเราต้องการ Body แบบไหนจากการคั่ว?
body เป็นความรู้สึกถึงน้ำหนักที่เคลือบบนลิ้นและโพรงปากทั้งหมด ซึ่งเป็นมิติของรสชาติตัวหนึ่งที่ส่งผลต่อ ‘ความรู้สึกมีความสุขจากการดื่ม (hedonic)’ หากเราได้ดื่มกาแฟที่มีน้ำหนักและให้รสอันนุ่มละมุน ก็คงจะมีความสุขมากกว่าการได้ทานกาแฟที่ไร้น้ำหนักและฝาดกระด้างอย่างแน่นอน
โดยส่วนตัวผม เวลาจิบกาแฟปุ๊บต้องถามหาบอดี้ก่อนเพื่อนเลย ส่วน flavor อื่นก็ค่อยว่ากันต่ออีกที ถ้ากาแฟไม่มีบอดี้ก็ไม่ค่อยอยากทานต่อแล้ว
ทีนี้เรามา Zoom in กันต่อว่าองค์ประกอบส่วนไหนของกาแฟบ้างที่ส่งผลต่อ body
มีสารประกอบหลัก 3 ตัวในกาแฟดิบที่ส่งผลต่อบอดี้ในกาแฟภายหลังการคั่ว ได้แก่

1. คาร์โบไฮเดรต : คือส่วนแป้ง (polysaccharide) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีสายโซ่ซับซ้อนและน้ำตาล (sugar) ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็กกว่า
เมื่อกาแฟถูกคั่วจนผ่านระดับ 160 C น้ำตาลจะทำปฏิกิริยากับกรดอมิโน (ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง) ใน Maillard Reaction เกิดเป็นกลิ่นรสต่างๆและสารสีน้ำตาลที่เรียกว่า melanoidin ในขณะที่แป้งจะสลายตัวกลายเป็นโมเลกุลที่มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นน้ำตาลที่สามารถทำปฏิกริยาได้ต่อไป ที่สำคัญคือ มันกลายเป็นคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลที่ ‘ละลายน้ำได้’
น้ำตาลที่สลายตัวด้วยความร้อนยังเกิดการจับตัวเป็นน้ำตาลที่มีพันธะซับซ้อนกลายเป็นคาราเมลในปฏิกริยา caramellization เกิดกลิ่นน้ำตาลไหม้และให้น้ำตาลที่มีความขมและกรด acetic,formic ที่มีความเปรี้ยว
การควบคุมระดับความรุนแรงของ caramellization ไม่ให้เกิดรุนแรงเกินไปจะช่วยให้เราได้กาแฟที่มีทั้งความหวานและความขมที่สมดุลได้ คาราเมลซึ่งมีน้ำหนักโมเลกุลสูงและละลายน้ำได้มีผลทำให้กาแฟมี body มากขึ้นอีกด้วย
น้ำตาลที่ละลายน้ำได้มาอยู่ในน้ำกาแฟแล้วก็มาเคลือบที่ลิ้นของเราได้มากบอดี้ก็มาก ยิ่งถ้าส่วนใหญ่เป็นน้ำตาลคุณภาพดีไม่มีขมจัด บอดี้ก็นุ่ม
ในทางกลับกัน หาก caramellization เกิดรุนแรง เราจะได้ความขมมาก บอดี้ไม่นุ่มนวลหรือถึงกับบอดี้ต่ำ พร้อมทั้งกลิ่นฉุนแนวไม้เผา (ลองทดลองเคี่ยวน้ำตาลเปล่าๆบนกระทะในครัวแบบปรับเปลี่ยนความแรงไฟดูก็ได้นะครับ จะเห็นทั้งภาพและกลิ่นแบบที่ผมพูดเลย) ใครคั่วถึงช่วง second crack แบบไฟแรงจะเจอปัญหานี้


2. ไขมัน (lipid)
ไขมันในกาแฟจะคงตัวในระหว่างคั่วค่อนข้างดี คือไม่เปลี่ยนรูปไปมากนักเนื่องจากมีจุดหลอมเหลวที่สูง เว้นแต่การเกิด oxidation ในตอนท้ายๆของการคั่วเช่นหลัง second crack ซึ่งหากกาแฟมี temp สูง (ถ้าเกิน 230 C น้ำมันท่วมแล้ว) เราจะได้กลิ่นน้ำมันดีเซลปนกับกลิ่น rubber burnt หรือยางไหม้ ซึ่งเป็นสัญญาณของกลิ่น aromatic ที่ไม่ดีแล้ว หรือหากคงระดับอุณหภูมิสูงหลัง second crack นานเกินไป เราก็อาจได้กลิ่นน้ำมันพืชหืนเก่า (ทั้งๆที่คั่วใหม่) ซึ่งก็เป็นปัญหาเช่นกัน
ในกรณีคั่วด้วยไฟแรง ถึงแม้จะจบการคั่วที่อุณหภูมิไม่สูงระดับ 230 C แต่ความดันแก๊สภายในเมล็ดมักจะสูงมากเสียจนขับให้น้ำมันกาแฟไหลออกมานอกผิวเมล็ดมากซึ่งจะสัมผัสกับอากาศในภายหลังได้มาก กาแฟคั่วจะหืนเร็วจากปฏิกิริยา oxidation อายุการเก็บรักษาสั้น
ไขมันเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้าง mouthfeel และทำให้เกิดกลิ่นหอมในน้ำกาแฟที่ชงเสร็จแล้วเนื่องจากสารให้กลิ่นหอมส่วนใหญ่นั้นเป็นสารละลายในน้ำมัน
ถ้าสกัด (ชง) ให้ไขมันและน้ำตาลออกมาได้มาก (ซึ่งมักสกัดได้ดีด้วยการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ชง) เราก็จะได้ body มากเช่นกัน...แต่ต้องคั่วให้มีของดีมาสกัดเสียก่อนนะครับ
การหมัก (Fermentation) อย่างเหมาะสมระหว่างช่วงโปรเสส ยังสามารถช่วยสร้างให้เกิดไขมันกลุ่ม glycerol เพิ่มขึ้นได้จาก วัฏจักรกลีเซอรอล ที่เกิดควบคู่สลับไปมากับ วัฏจักรการสร้าง ethanol ดังนั้นกาแฟที่มี fermentation ดีจึงมักจะมี body ดี body เต็ม
body จากการหมักไวน์ก็เป็นลักษณะเดียวกันครับ ไวน์หนืดๆมักจะกลมกล่อมละมุนลิ้น เป็นผลจาก glycerol ที่อยู่ในระดับเหมาะสม
ไขมันมีทั้งแบบละลายน้ำไม่ได้ และละลายน้ำได้บ้างบางส่วน มีบางครั้งที่เราอาจดริปกาแฟแล้วเจอฟิล์มไขมันลอยเหนือน้ำกาแฟก็คือไขมันที่ไม่ละลายในน้ำ ส่วนที่อยู่ปนกันกับน้ำกาแฟไม่ลอยแยกตัวก็คือไขมันแบบละลายน้ำได้บ้าง


3. กรดคลอโรจีนิก (cholorogenic, CGA) : เป็นสารประกอบ phenol ที่ให้คาแรกเตอร์ขมฝาด ตอนที่ผลกาแฟบนต้นยังไม่สุกเต็มที่จะมีปริมาณ CGA สูง เมื่อกาแฟเข้าสู่ช่วงสุก (maturity) CGA จะลดลงในขณะที่เกิดน้ำตาล Sucrose เพิ่มขึ้น ใครที่ไม่มีประสบการณ์ชิมผลกาแฟสดๆก็ลองจินตนาการเทียบรสชาติระหว่างผลมะม่วงดิบกับมะม่วงสุกดูครับ
ตั้งแต่ก่อนจะถึง first crack เจ้า CGA ก็เริ่มสลายตัวออกเป็นกรดหลักๆ 2 ตัวคือ caffeic acid และ quinic acid ซึ่งมีคาแรกเตอร์ขมและฝาด (astringent) แต่ก็มี CGA บางส่วนสลายตัวออกไปจากกาแฟด้วย เมื่อผ่าน first crack ไป CGA ลดลงเรื่อยๆ รสฝาดเฝื่อนจะลดลงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน CGA ที่สลายตัวก็เริ่มเกิดเป็นสารที่ให้รสขมเพิ่มขึ้นอย่าง Chlorogenic Lactone (ขม) และ Phenyllindane (ขมเฝื่อน) ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ขมแบบคั่วกลางและคั่วเข้มนั่นเอง
ที่คั่วอ่อนมากๆแล้วรู้สึกฝาดลิ้นก็เป็นคาแรกเตอร์ของ CGA ที่ยังมีปริมาณมากอยู่
ที่คั่วเข้มแรงๆแล้วขมจังเลยก็เป็นเพราะลูกๆของ CGA ที่กลายร่างเป็นสารให้ความขมอีกชั้นหนึ่ง
CGA จึงมักจะเป็น mouthfeel ด้านลบที่ต้องควบคุมโดยการคั่วที่ประณีต แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ากาแฟมี CGA ในสัดส่วนที่สูงอยู่แล้วเช่น Robusta เราก็อาจจะยังคงต้องได้คาแรกเตอร์ฝาดเฝื่อนหรือขมเฝื่อนติดมาอยู่ดี


---


เราต้องการ body แบบไหนจากการคั่ว?
balance cup เป็นสิ่งที่นักคั่วควรคำนึงถึงและพยายามทำให้ได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นคั่ว filter หรือ คั่ว espresso และ body ที่ดีเป็นฐานสำคัญที่สุดของ balance cup ดังกล่าว
คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ กรดคลอโรจีนิค เป็นสารประกอบตัวหลักที่กำหนดคุณภาพของ body ในกาแฟในถ้วยของเรา ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดริป เอสเปรสโซ หรือกาแฟที่ชงโดยวิธีอื่นๆ การคั่วเพื่อควบคุมให้ได้จุดที่ดีที่สุดของสารประกอบทั้ง 3 ตัวนี้ถือเป็นการกำหนดคุณภาพของ body ไปพร้อมกับคุณภาพของ flavor ด้านอื่นๆ
การจะบอกว่า body แบบไหนจึงเรียกว่า body ที่ดีนั้นอาจจะง่ายขึ้นโดยการกำหนดลักษณะของ body ที่ไม่พึงมี เพราะเป็น common หรือความรู้สึกร่วมกันของผู้บริโภคส่วนใหญ่ คนเราจะมีภาพจำชัดเจนกับเรื่องที่ตัวไม่ชอบอยู่แล้วเสมอ
Body ที่ไม่ควรมีคือ

1. จืดจาง


2. ฝาดเฝื่อน


3. กระด้าง


ถ้าสามารถคั่วเพื่อให้เกิดเคมีการเปลี่ยนแปลงของแป้งและน้ำตาล ไขมัน และกรด CGA ที่เหมาะสมตลอดเส้นทางการคั่วโดยคำนึงว่าในช่วงนี้ๆควรเพิ่มหรือชะลออัตราการให้ความร้อนมากหรือน้อยแค่ไหนโดยไม่สร้างปัญหาความขมเฝื่อน (จาก CGA)หรือขมไหม้ (จากความรุนแรงของ Caramellization) และกลิ่นน้ำมันหืนและยางไหม้ (จากการใช้ความร้อนจัดและนานในช่วงท้ายของการคั่ว) เราก็จะได้บอดี้ที่ดีมาก เท่าที่ศักยภาพของเมล็ดตัวนั้นจะทำได้เอง


---


Convection และ Conduction มีความหมายอย่างไรในการคั่ว?
ผมเคยเล่าเรื่องรูปแบบของการถ่ายเทความร้อนและแตกต่างระหว่างการใช้กระแสลมร้อนที่มีความเร็วสูงกับความเร็วต่ำว่าส่งผลต่อประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนไปแล้วหลายตอนดังนั้นจึงไม่ขอลงรายละเอียดมากนักนะครับ
เพื่อความกระชับผมขอสรุปเหตุการณ์ถ่ายเทความร้อนที่เกิดในถังคั่วประมาณนี้ก่อน


1. กาแฟจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีต้องอาศัยความร้อนมาช่วยสร้างปฏิกิริยาเคมี


2. การนำความร้อน (conduction) เกิดจากการสัมผัสกันของวัตถุ เช่นเมล็ดสัมผัสกับเมล็ด เมล็ดกับถังคั่ว และการส่งผ่านความร้อนภายในเนื้อเมล็ดเอง


3. การพาความร้อน (convection) คือการส่งความร้อนจากอากาศในห้องคั่วไปยังเมล็ด หรือจากเมล็ดไปหาอากาศก็ได้ convection ที่มากพอจะช่วยให้ได้ความสม่ำเสมอในการคั่ว ถ้าสีสันของเมล็ดคั่วมีจุดไหม้กระดำกระด่างเราสามารถบอกได้เลยว่ากาแฟรับความร้อนจากถังคั่วมากไปหรือมีการพลิกกลับไม่เหมาะสม หรือลมน้อยเกินไป


4. ในการพาความร้อน (Convection heat transfer) ความร้อนเคลื่อนเข้าสู่เมล็ดโดยอาศัย 2 ปัจจัยใหญ่ได้แก่
-​ ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิเมล็ดกับอุณหภูมิอากาศในห้องคั่ว (Temperature Gradient)
- สัมประสิทธิ์การพาความร้อน (Convection heat transfer coeeficient , h)


5. การปรับลดความเร็วลม (air flow) ก็คือการลด h ลง หรือการลด drum speed ก็เป็นการลด h ลงเช่นกัน ค่าh ที่ลดลงหมายถึงการลดประสิทธิภาพของการถ่ายเทความร้อนนั่นเอง


6. การลด air flow หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการทำให้เกิดลมอับขึ้น จะทำให้การกระจายอุณหภูมิในห้องคั่วเป็นไปในทิศทางที่ไม่สม่ำเสมอมากขึ้น อับลมนิดหน่อยก็เป็นปัญหาไม่มากแต่ถ้าอบลมมากๆ ความร้อนจะไปกองอยู่ที่ช่วงล่างของ drum (เพราะแหล่งให้ความร้อนคือ burner อยู่ข้างล่าง) ทีนี้เมล็ดก็อาจจะไหม้บ้าง สุกบ้างปนกันละ ...สมัยหนุ่มๆผมเคยพังมาแล้ว


7. แต่การใช้ air flow มากไปก็อาจทำให้รักษาความร้อนในห้องคั่วได้ไม่ดีอีก เพราะอากาศเข้าเร็วออกเร็วดึงความร้อนออกจากถังไปเร็ว ดังนั้นถ้าจะเพิ่ม air flow โดยยังคงรักษา Temp Gradient เอาไว้ให้ได้ ก็ต้องเร่งไฟชดเชยตาม
การเลือกใช้ Air flow และ Drum speed จึงต้องทำให้ถูกต้องสอดคล้องกับการเกิดเคมีช่วงต่างๆ...โดยในทางปฏิบัตินักคั่วไม่จำเป็นต้องไปปรับพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง เราแค่เลือกเอาสักอย่างก็พอ ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าเรามีเพดานการปรับได้มากหรือน้อยแค่ไหน เช่นถ้าจะลดความเร็วลม ก็อย่าลดเสียจนแทบไม่มีลมเดินในเครื่อง เพราะคุณอาจจะได้ tipping, scorhing หรือบางทีจนถึงขั้น fail ไปเลยก็ได้ถ้าหากหัววัดอุณหภูมิไม่สามารถเป็นตัวแทนของระบบคั่วในเวลานั้นได้
ถ้าจะเพิ่มลม ก็อย่าเพิ่มจนคุม temp ของอากาศไม่อยู่ พออากาศในห้องต่ำลงกว่าเมล็ด ก็กลายเป็นดึงความร้อนออกจากเมล็ดไปเสียจนกาแฟอาจจะ bake หรือทึบๆไม่มีรสมีชาติ
หรือถ้าจะปรับลดหรือเพิ่ม drum speed ก็อย่าทำเสียจนกาแฟไม่พลิกตัวหรือถูกเหวี่ยงเนื่องจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางไปกองกันอยู่ตามแนวขอบ drum
ถ้ารู้ลิมิตของการปรับตัวแปร ก็เท่ากับมีกรอบการทำงาน ไม่สะเปะสะปะ


------


สรุป
ถามต่อว่า “แล้วอย่างนั้นการลด air flow ช่วยลด convection นั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกับคุณภาพของ body?“
ตอบว่า ไม่รู้ครับ อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ คือมันขึ้นกับว่าเรารู้ตัวเองมั้ยว่ากำลังทำเพื่อควบคุมเคมีในขั้นตอนไหนอยู่
จะเห็นได้ว่าเรื่อง convection หรือ conduction เป็นเรื่องของการควบคุมลักษณะและปริมาณของการถ่ายเทความร้อน ส่วน body เป็นเรื่องของการควบคุมจังหวะของการเกิดเคมีซึ่งสัมพันธ์กับ Roast profile คือคุณจะเลือกสัดส่วน conduct/convect ยังไงไม่รู้ละ แต่ถ้าหากทำ roast profile ได้ตามกราฟนี้ๆ คุณก็จะได้กาแฟที่มีคาแรกเตอร์ตาม profile นั่นเอง (ไม่นับเรื่องเกิด defect จากลักษณะของการให้ความร้อนไม่เหมาะสม)
ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าการยึดเอาแค่ประโยคว่า Low air flow แล้ว body จะดี จึงยังไม่ค่อยจะเหมาะนัก เพราะหาความเชื่อมโยงในชั้นกลางไม่ได้ ทีนี้พอเราไปยึดติดรูปแบบโดยไม่เข้าใจจริงถึงสถานการณ์ที่นักคั่วดังๆเขาเลือกใช้ หลายคนเลยได้กาแฟติด smoke บ้างเอย หรือได้กาแฟ bake และกระดำกระด่างมาเป็นของแถมก็มี...ถึงขนาดนั้นแล้วบางคนก็ยังไม่กล้าปรับเปลี่ยนอีกนะเพราะกลัว body จะหาย ความเชื่อเลยกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนางานไปอย่างน่าเสียดาย
ถึงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าถ้าเราเข้าใจจังหวะของการให้แรงส่งทางความร้อนที่เหมาะสมกับปฏิกิริยาเคมีในช่วงต่างๆ เราก็จะเลือกให้ air flow ที่สอดคล้องเพื่อควบคุม heat transfer ให้เหมาะสมได้เอง ...ไม่มีคำว่าต้อง Low หรือ high air flow
มีแต่ proper air flow ครับ

ทิ้งท้าย
เพื่อนๆจะสังเกตว่าในบทความต่างๆของผมนั้นใช้คำว่า ‘พลังงาน’ น้อยมากโดยจะเลือกใช้คำว่า ‘ความร้อน’ แทน เหตุผลก็เพราะคำว่าความร้อนนั้นดูสามัญและเข้าใจง่ายกว่าในขณะที่คำว่าพลังงานนั้นอาจทำให้คนอ่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องหรูหราปนลึกลับได้ ทั้งนี้อยากให้พวกเราเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าถึงแม้การคั่วกาแฟจะเป็นเรื่องละเอียดลออและเกี่ยวข้องกับเคมีจำนวนมาก แต่เราสามารถเรียบเรียงความรู้ความเข้าใจให้ออกมาอย่างเรียบง่ายไม่ซับซ้อนได้
เมื่อเกิดความเข้าใจขึ้นแล้วความยุ่งยากก็จะหายไปเอง
เหลือแต่ความเรียบง่ายครับ

---------------------------

ช่องทางสั่งซื้อเมล็ดกาแฟคั่วปรีดา
Website : https://www.preda-roastinghouse.com/predacoffeebeans
Facebook : https://m.me/predaroastinghouse
Line : https://shop.line.me/@preda.coffee
shopee : https://shope.ee/7zXK5jKBxz
Lazada : ค้นหาร้าน กาแฟปรีดา https://s.lazada.co.th/s.S2X54

กาแฟพิเศษ PREDA LTLH
Line : https://shop.line.me/@preda.ltlh

หนังสือและโปสเตอร์
Line : https://shop.line.me/@preda.things


Related Content
Roasting Coffee: Why Body Matters
At Preeda Roasterys roasting class, students get to taste both their own roasts and their classmates.
Why the Curved Surface Heats Faster than the Flat Side?
The other day, I was talking with a younger friend about the physical mechanisms behind the First Crack—where it comes from and how it happens. Since she used to work in the aviation field, I brought up an analogy about airflow hitting coffee beans, causing changes in air pressure and velocity—much like how airflow interacts with an airplane wing. After explaining, I realized it might be useful to write it down in a way that paints a clearer picture.
coffee chemistry:Arabica Vs.Robusta
มีคำถามมาว่าจะคั่วโรบัสต้ายังไงให้อร่อย? เพราะหลายคนพยายามคั่วโรบัสต้าให้ฟรุ้งฟริ้งยังไงก็ไม่สำเร็จ กลับจะไปทาง earthy ไม่ค่อยมีรสมีชาติ บางคนบ่นว่ากลิ่นสาบแรงไปเลยก็มี
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy