Share

Caramelization

Last updated: 5 Oct 2023
1835 Views

Caramelization

ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ ESPRESSO
ปัญหาอย่างหนึ่งในโลกการศึกษากาแฟวันนี้ก็คือ ‘เรื่องคั่วเข้ม’ ครับ เพราะตำราคั่วกาแฟสมัยใหม่แทบไม่มีใครพูดถึงมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยมีแต่พากันคั่วอ่อนเพื่อทำ Specialty ไปเสียหมดทั้งๆที่กาแฟมื้อหลักของนักดื่มยังคงเป็นกาแฟ Espresso Base อยู่

การคั่วเพื่อเอสเปรสโซนั้นยังไงก็ต้องไปให้ถึง second crack เพื่อสร้างบอดี้ที่หนักแน่นนุ่มนวล และกลิ่นรสกลุ่มดาร์คชอค คาราเมลที่หอมตลบอบอวล หากแต่ตำราคั่วกาแฟสมัยใหม่เขาพาเราไปถึงแค่ first crack และนิยามการคั่วเอสเปรสโซก็เริ่มถูกเขียนขึ้นใหม่ให้หยุดอยู่แค่ก่อนถึง second crack ดังนั้นโลกหลัง second crack จึงกลายเป็นเหมือนแดนสนธยาที่หลายคนยังหลงทางไปต่อไม่ค่อยเป็นหรือกระทั่งไม่กล้าที่จะกล้ำกรายย่างเท้าก้าวเข้าไปก็มี
กาแฟคั่วกลางถึงเข้มในท้องตลาดบ้านเราก็เลยมีอยู่ 3 แนวใหญ่ๆคือ
1. เข้มขมน้ำมันท่วมไปเลย รสชาติแบนๆทึบๆ smoke ก็เยอะ
2. สีน้ำตาลเข้มอาจจะได้แต่ไม่มีความหวานและขาดบอดี้ที่หนักแน่นนุ่มนวลมา support
3. คั่วกลางเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดขาดบอดี้
ปัญหาทั้งหมดนี้อาจจะหมดไปถ้านักคั่วเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ปฏิกิริยาคาราเมล หรือ Caramelization

-----

ก่อนจะพูดถึง Caramelization มารู้จัก Pyrolysis กันก่อน
Pyrolysis คือการสลายตัวเนื่องจากความร้อนของสารอินทรีย์ทั้งหลายไปสู่องค์ประกอบพื้นฐาน (ซึ่งสุดท้ายคือ carbon) โดยไม่ใช้ออกซิเจนร่วมด้วย
ไม่ว่าจะเป็นกรด น้ำตาล โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เหล่านี้เมื่อถูกความร้อนสูงก็จะเกิดการสลายตัวเป็นโมเลกุลเล็กลง ในระหว่างนั้นก็อาจมีการรวมตัวกันเป็นสารใหม่ซึ่งมักจะมีการเกิดน้ำ, carbondioxide และ carbonmonoxide รวมทั้งสารประกอบที่ระเหยตัวได้ (Volatile Organic Compound, VOC) ให้กลิ่นต่างๆ (ที่ค่อนข้างจะเป็นกลิ่นหนัก) จนในที่สุดก็เหลือเพียง Carbon
สมมติผมเอาต้มยำไก่หนึ่งหม้อ ปิดฝาแล้วตั้งไฟกลางไปเรื่อยๆโดยไม่สนว่าน้ำในหม้อจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว ทั้งไก่และผักก็จะแห้งและร้อนขึ้นเรื่อยๆ พอร้อนมากๆเข้า เนื้อไก่และกระดูกก็อาจเกิดการติดไฟด้วยตัวเองขึ้นถ้ายังมีอากาศอยู่ในหม้อ (เมล็ดกาแฟติดไฟได้เองที่ 260C ดังนั้นอย่าเผลอรับโทรศัพท์แฟนเวลาคั่วกาแฟนะครับ) คราวนี้กลิ่นควันโขมงแบบยางไหม้ก็ตามมา การสลายตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นจนในที่สุดทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการสลายตัวแบบ Pyrolysis
เมื่อเมล็ดกาแฟถูกคั่วจนร้อนถึงประมาณ 160 C Pyrolysis เริ่มเกิดโดยกรด Chlorogenic (CGA) สลายตัว และค่อยๆเกิดสารที่มีความขมมากขึ้นอย่างเช่น Chlorogenic Lactone และ Phenylindanes ตามลำดับ
ไขมัน (Lipid) บางกลุ่มประมาณ 10% แตกตัวเป็นสารให้กลิ่นเช่น Terpeneและ Aldehyde (ไขมันส่วนใหญ่มีความคงตัวสูงและไม่สลายตัวด้วยความร้อน) ยกตัวอย่างกันแค่นี้ก่อนนะครับ

---

Caramelization ก็คือ Pyrolysis ชนิดที่เกิดกับน้ำตาล
ด้วยความช่วยเหลือจากน้ำทำให้น้ำตาล sucrose และคาร์โบไฮเดรตที่ร้อนขึ้นเกิดการสลายตัวเป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็กต่างๆจากนั้นเมื่อผ่านช่วง 160 C น้ำตาลเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ไปทำปฏิกิริยากับกรด amino ใน Maillard Reaction อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มจับโมเลกุลเข้าด้วยกันเป็นสาย polymer ที่ให้คาแรกเตอร์หวาน ขม อมเปรี้ยว และมีกลิ่นน้ำตาลไหม้ในปฏิกิริยาเคมีที่ชื่อ Caramelization โดยสารประกอบที่ให้ความเป็นคาราเมลนี้ชื่อ Furfuryl ซึ่งเป็น Furan (สารให้กลิ่นกาแฟ) ชนิดหนึ่ง ส่วนความเปรี้ยวนั้นได้จากกรดสองตัวคือ Acetic และ Formic ที่เกิดจากปฏิกริยานี้
ถึงแม้จะเป็นปฏิกิริยาที่ให้สีน้ำตาลเหมือนกับ Maillard แต่คาราเมลเป็นเรื่องของน้ำตาลเท่านั้น เราจะไม่ได้กลิ่นปิ้งย่างจาก Caramelization ถ้าจะมีให้ความรู้สึกทำนองนั้นก็แค่กลิ่นน้ำตาลไหม้ซึ่งจะไหม้หนักหรือเบาก็ขึ้นกับระดับความลึกของปฏิกริยาหรือที่เรียกว่า Degree of Caramelization
ครั้งหนึ่งสมัยทำร้านกาแฟใหม่ๆ น้องพนักงานที่ร้านโก๋ต้มน้ำเชื่อมผิดสูตรโดยลืมใส่น้ำร่วมไปกับน้ำตาล กว่าจะรู้ตัวก็เผาน้ำตาลแห้งๆไปเกือบสิบนาทีจนน้ำตาลเกิดหลอมละลายด้วยความร้อนควันคละคลุ้งไปหมด น้องรีบเติมน้ำเปล่าตามลงไปในหม้อแล้วก็เคี่ยวไปทั้งอย่างนั้น ผลสุดท้ายเราเลยได้น้ำเชื่อมสีเข้มคาราเมลกลิ่นหอมมีเสน่ห์
อาศัยอุบัติเหตุในวันนั้น ผมเลยได้เรียนรู้ปฏิกิริยาคาราเมลและทดลองหารูปแบบของคาราเมลที่ลงตัวขึ้น คือถ้าเราใช้ไฟแรงคาราเมลก็เปลี่ยนแปลงเร็วทั้งความขมและความเปรี้ยวก็จะมากขึ้น ยิ่งใช้เวลานานมากก็ยิ่งขมมาก จนถึงจุดหนึ่งก็ไม่เหลือความหวานเลย แต่พอลองปรับลดไฟลงอีกนิดหน่อยหลังจาก Caramelization จุดติดแล้วเคี่ยวแห้งไปสักระยะเอาแค่สีน้ำตาลแดงพอสวยค่อยเติมน้ำลงไป คนจนเข้ากันก็จะได้คาราเมลที่หวานนำขมตาม อมเปรี้ยวนิดหน่อย ลงตัวมาก

---

การปรุงคาราเมลหน้างาน
จินตนาการว่าเราเป็นเชฟทำขนมที่กำลังทำ Caramel Sauce กันสักแป๊บนึงนะครับ
นักคั่วมักจะได้กลิ่นหอมหวานแบบที่สัมผัสได้จริงๆเมื่อ Bean Temp ผ่าน 180 C ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกิดน้ำตาลมาจำนวนหนึ่งแล้ว จากนั้นกลิ่นหวานที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นตอนกาแฟกำลังเข้า first crack (190-200 C) ก็บอกเราว่า Caramellization ได้เกิดเต็มตัวแล้ว ... 2 คำถามต่อมาก็คือ

1. คาราเมลกำลังเกิดด้วยอัตราเร็วแค่ไหน? : อัตราเร็วของการเกิด Caramel ก็เป็นอัตราเดียวกันกับ Reaction Rate ของระบบ ณ ขณะนั้นซึ่งสะท้อนมาทางค่า ROR (Rate of Rise) ครับ ถ้า ROR ตอนเข้าแครกสูง อุณหภูมิของเมล็ดก็จะขยับขึ้นเร็ว อัตราการเกิดปฏิกริยาก็จะเปลี่ยนไปเร็วเช่นกัน เราอาจจะได้คาราเมลที่สีเข้มและค่อนข้างขมมากเมื่อไปถึง second crack แต่ถ้า ROR ต่ำ คาราเมลก็จะนุ่มนวลขึ้น...แต่กว่าจะไปถึง second crack ก็อาจจะใช้เวลานานเกินไป เราก็จะได้กาแฟ bake ที่ทึบๆแบนๆ มาเป็นรางวัล
ROR ที่เหมาะสมในช่วงเข้า crack 1 จึงเป็นตัวกำหนดคุณภาพของคาราเมลเมื่อตอนถึง crack2 ครับ และการ ROR ตอนจังหวะ crack1 สำหรับการคั่วอ่อนก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันกับกรณีคั่วเข้ม เพราะคั่วอ่อนเรามีเรื่องของ Development เป็นเงื่อนไขหลัก แต่คั่วเข้มเราต้องคิดถึง Caramel ที่ปลายทางเป็นสำคัญ (คือยังไงกาแฟก็ Develop หรือ สุก ค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว) ดังนั้นหากต้องการให้กาแฟคั่วเข้มของคุณหวานขึ้นก็ลองเบาไฟลงนิดนึงหลังผ่าน first crack ไปแล้วเพื่อให้เกิดคาราเมลแบบนวลๆมาสะสมให้เมล็ดของเราเพิ่มขึ้น

2. เมื่อถึงเวลาหยุดคั่ว...ปริมาณสะสมของคาราเมลที่เกิดทั้งหมดนั้นเหมาะหรือเข้ากันได้กับระดับคั่วที่ต้องการไหม? : ถ้าคั่วกลางถึงคั่วเข้ม ปัจจัยที่ต้องคิดอีกข้อหนึ่งก็คือ Development ในจังหวะ second crack ซึ่งจะดูแค่คาราเมลอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาการเกิดกลิ่นแบบคั่วเข้ม การเกิด smoke และความขมที่ต้องอยู่ในไลน์ของเอสเปรสโซที่ดีคือมี balance ทั้ง bitter sweet และ oil ทั้งยังต้องหลงเหลือความสดชื่นของกรดเอาไว้ในระดับหนึ่งด้วย (เรื่อง second crack นี่ละเอียดอ่อนและต้องตัดสินใจแม่นยำเพราะเคมีเกิดเร็วกว่าตอน first crack มากๆ ซึ่งคงต้องคุยอีกยาว)

อยากให้ศรัทธาอย่างหนึ่งนะครับว่า กาแฟคั่วเอสเปรสโซที่ทั้งหอมหวาน นุ่ม แน่น และมีชีวิตชีวานั้นมีได้จริงๆ เราอย่าเพิ่งไปคิดว่าคั่วเข้มมันก็ต้อง Burn ขมอย่างนี้แหละ เชื่อผมครับว่าการคาราเมลและการควบคุม Oil ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะช่วยดึงความต้องหวานความนุ่มให้เอสเปรสโซได้มาก (ซึ่งเรื่องควบคุม Oil นี้ไว้เราหาโอกาสมาว่ากันอีกที)
การปรุงคาราเมลจึงเป็นศิลปะของ Chef อย่างหนึ่งซึ่งนักคั่วอย่างเราอาจจะต้องมีติดตัวเอาไว้บ้างครับ


ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ (ยาวไปมั้ยเนี่ย)

ผู้เขียน....อาคม สุวัณณกีฏะ


Related Content
Roast Profile Ideas for Dry-Process Coffee: How to Reduce Over-Fermented and Alcoholic Notes
One common challenge many specialty-coffee roasters encounter when roasting dry-process coffee is the appearance of overly strong fermented aromasoften leaning toward ripe or overly alcoholic fruit.
Roasting Coffee: Why Body Matters
At Preeda Roasterys roasting class, students get to taste both their own roasts and their classmates.
Why the Curved Surface Heats Faster than the Flat Side?
The other day, I was talking with a younger friend about the physical mechanisms behind the First Crack—where it comes from and how it happens. Since she used to work in the aviation field, I brought up an analogy about airflow hitting coffee beans, causing changes in air pressure and velocity—much like how airflow interacts with an airplane wing. After explaining, I realized it might be useful to write it down in a way that paints a clearer picture.
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy