Share

Dehydration

Last updated: 5 Oct 2023
2687 Views

#Dehydration : น้ำออกจากเมล็ดไปยังไง? และทำไมถึงสำคัญต่อ First Crack อย่างยิ่งยวด?
เรื่องน้ำถือเป็นเรื่องใหญ่มากๆสำหรับนักคั่ว...ไม่เข้าใจไม่ได้

หลายคนอาจจะคิดไม่ถึงนะครับว่าการ Drying หรือไล่ความชื้นออกในระหว่างการคั่วนี้มันสำคัญยังไง ? ความจริงแล้วการเกิดปฏิกริยาเคมีที่ให้กลิ่นรสมากมายในกาแฟล้วนแต่ต้องมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องครับ ถ้ามีน้ำมากไปเคมีก็ไม่ค่อยเกิด แต่ถ้าน้ำน้อยไปเคมีก็ไม่เกิดอีกเหมือนกัน
ปริมาณน้ำในเมล็ดกาแฟหรือที่เราเรียกกันว่าความชื้นในเมล็ดนั้นจะส่งผลต่อพฤติกรรมของเมล็ดในระหว่างการคั่ว กาแฟที่ความชื้นสูงจะมีค่าการนำความร้อนมากกว่ากาแฟความชื้นต่ำ (ซึ่งช่วยถ่ายเทความร้อนจากด้านนอกเข้าไปยังด้านในทำให้เมล็ดมีระดับอุณหภูมิใกล้เคียงกันทั้งผิวและแกนกลาง) และหากมองลึกเข้าไปอีกนิด...เราจะพบว่าเมล็ดที่มีการกระจายตัวของน้ำที่สม่ำเสมอจะส่งผลทางคุณภาพการคั่วที่ดีกว่าเมล็ดที่มีการกระจายตัวของน้ำแย่ (จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราต้องตากกาแฟให้ประณีตถูกต้องตามหลักการทำแห้งที่ดี)
เมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วสีเนียนสม่ำเสมอมาจากการกระจายความชื้นที่ดี และจะส่งผลถึงการพัฒนารสชาติที่สม่ำเสมอด้วย
และรู้หรือไม่ว่าปรากฏการณ์แตกตัวครั้งที่ 1 ในระหว่างคั่วหรือที่เรียกว่า First Crack ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการพัฒนาตัว (Development) ของกาแฟนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? มาดูกันครับ
----
ก่อนอื่นมารู้จักคำว่า Dehydration หรือการสูญเสียน้ำกันก่อน
การสูญเสียน้ำออกไปจากเมล็ดในระหว่างการคั่วหรือ Dehydration มีสองระดับคือ การระเหย (Evaporation) และ การกลายเป็นไอ (Vaporization)
Evaporation หรือการระเหย : คือการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็นไอที่เกิดเฉพาะบริเวณผิวหน้าของของเหลวโดยสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถึงอุณหภูมิจุดเดือด ( สำหรับน้ำจุดเดือดคือ 100 C ) น้ำสามารถระเหยได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 0-100 C โดยอัตราการระเหยจะขึ้นกับระดับอุณหภูมิด้วย
Vaporization หรือการกลายเป็นไอ : คือการกลายเป็นไอของน้ำเมื่อได้รับพลังงานมากจนถึงจุดเดือดซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนสถานะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (นึกถึงภาพน้ำเดือดปุดๆในหม้อบนเตาไฟ แป๊บเดียวน้ำหายไปค่อนหม้อเลย) โดยในการคั่วกาแฟนั้นเราถือว่า vaporization มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดคุณภาพของกาแฟ
กาแฟจะเริ่มสูญเสียน้ำในแบบ evaporation ทันทีนับตั้งแต่เริ่มคั่วไปจน bean temp. เพิ่มขึ้นไปราวๆ 100 C ต่อจากนั้นจึงเกิด vaporization หรือการกลายเป็นไอตามมาเนื่องจากการเดือด
ตอนที่เมล็ดยังร้อนไม่ถึง 100 C น้ำอิสระ (free water) ที่ผิวของเมล็ดจะระเหยไปยังอากาศหรือกระแสลมภายในถังคั่ว ยิ่งลมมีความเร็วมากน้ำก็ยิ่งระเหยเร็วขึ้นตามและเกิดการเคลื่อนตัวของน้ำจากแกนกลางออกไปสู่ผิวเมล็ด
เมื่อมาถึงจุดเดือดคือ 100 C เริ่มเกิดไอน้ำเดือดหรือที่เรียกว่า steam ซึ่งไอน้ำเดือดพวกนี้จะมีการขยายตัวหรือต้องการพื้นที่มากกว่าตอนเป็นสถานะของเหลว ความดัน (pressure) ในเซลล์จึงเริ่มก่อตัวขึ้น
สิ่งที่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติก็คือ “จุดเดือด” ของน้ำที่แต่ละระดับความดันนั้นไม่เท่ากันครับ เช่น
ที่ความดัน 1 บรรยากาศ (1 bar) น้ำมีจุดเดือด 100 C แต่ถ้าความดัน 2 บรรยากาศ น้ำจะเดือดที่ 120 C เป็นต้น
แรงดันไอน้ำไม่เพียงแค่ไปกระทำต่อพื้นผิวเซลล์ส่วนต่างๆเท่านั้นแต่ยังไปกดดันต่อผิวหน้าของน้ำที่ยังเป็นของเหลวด้วย แรงดันที่สะสมเพิ่มขึ้นตามพลังงานความร้อนที่ยังคงป้อนให้อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดแรงดันไอน้ำที่เรียกว่า Steam Pressure ซึ่งส่งผลทำให้จุดเดือดของน้ำค่อยๆเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างความดันที่เพิ่มขึ้นจาก 1 bar กลายเป็น 2 bar จุดเดือดของน้ำก็เพิ่มขึ้น จาก 100 C เป็น 120 C พอความดันขึ้นไปถึงระดับ 4 bar จุดเดือดของน้ำก็ขยับไปเป็น 150 C
แปลว่าถึงแม้เมล็ดกาแฟจะร้อนเกิน 100C ไปมากๆแล้วแต่ก็ไม่ได้แปลว่าน้ำในเมล็ดจะเป็นไอน้ำไปทั้งหมด เพราะจะมีน้ำบางส่วนยังเป็นของเหลวอยู่
แรงดันในเมล็ดกาแฟที่เกิดขึ้นจะอยู่ในย่าน 5-20 bar ขึ้นกับระดับการคั่วและการให้ไฟ ( ปั๊มน้ำแรงดัน 1 bar สามารถดันส่งน้ำได้สูง 10 เมตร) ซึ่งความดัน 20 bar นี่ก็เป็นพวกกาแฟคั่วเข้มมากๆน่ะครับ
ถามว่าตอนเกิด first crack ซึ่ง bean temp ประมาณ 190-200 C น่าจะมีความดันภายในเมล็ดเท่าไหร่?
อ้างอิงจากตารางคุณสมบัติทางเทอร์โมไดนามิกส์ของน้ำ ...ผมคาดว่าคงจะราวๆ 12.5-15.5 bar!
[ดูภาพตาราง​ saturated steam table ประกอบ, 0.1MPa=1bar]
ขอสรุปเบื้องต้นก่อนว่าการที่เมล็ดที่กำลังคั่วร้อนขึ้นเรื่อยๆนั้นส่งผลให้เกิดการระเหยในช่วงต้นและเกิดการเดือดเมื่อผ่าน 100 C จนพาไปสู่การสะสมของแรงดันไอน้ำขึ้นภายในซึ่งความดันก็กลายเป็นตัวควบคุมไม่ให้น้ำเดือดเป็นไอไปเสียทั้งหมด เพราะจุดเดือดก็ขยับหนีไปเรื่อยๆทำให้ยังคงมีน้ำที่เป็นของเหลวคงสภาพอยู่ โดยไอน้ำบางส่วนก็ทยอยหลุดลอยออกไป
ดังนั้นเราจึงมีน้ำที่อยู่ทั้งในสถานะของเหลวและไอน้ำอยู่รวมกันอย่างนี้จนกระทั่งถึงเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า First Crack
ไว้คุยกันต่อตอนหน้าครับ (ตัดจบเฉย)
หมายเหตุ : อ้างอิงหนังสือ 2 เล่มคือ
1. Coffee Roasting : Magic-Art-Science , Gerhard A. Jansen
2. Thermodynamics : An Engineering Approach, Yanus A. Cengel

ผู้เขียน....อาคม สุวัณณกีฏะ


Related Content
Roast Profile Ideas for Dry-Process Coffee: How to Reduce Over-Fermented and Alcoholic Notes
One common challenge many specialty-coffee roasters encounter when roasting dry-process coffee is the appearance of overly strong fermented aromasoften leaning toward ripe or overly alcoholic fruit.
Roasting Coffee: Why Body Matters
At Preeda Roasterys roasting class, students get to taste both their own roasts and their classmates.
Why the Curved Surface Heats Faster than the Flat Side?
The other day, I was talking with a younger friend about the physical mechanisms behind the First Crack—where it comes from and how it happens. Since she used to work in the aviation field, I brought up an analogy about airflow hitting coffee beans, causing changes in air pressure and velocity—much like how airflow interacts with an airplane wing. After explaining, I realized it might be useful to write it down in a way that paints a clearer picture.
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy